เลขาธิการศาล ฯ เผยสถิติฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1-15 พ.ค.

เลขาธิการศาล ฯ เผยสถิติฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1-15 พ.ค. ยอดปริมาณคดีที่เข้าสู่

การพิจารณากว่า 8,990 คดี แนะประชาชนเคารพกฎหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดแม้จะมีการผ่อนปรน เพื่อไม่ให้ยอดสถิติคดีสูงขึ้น

วันนี้ (16 พฤษภาคม 2563) นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์ข้อมูลคดี สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้รวบรวมสถิติคดีดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ภายหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. โดยไม่มีความจำเป็น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยภาพรวมสถิติคดีสะสมตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 15 พฤษภาคม 2563 มีจำนวนคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล ดังนี้

กลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง

1. จำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณา ทั้งหมด 8,990 คดี

2. จำนวนคดีที่พิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 8,756 คดี (คิดเป็นร้อยละ 97.40)

3. ข้อหาที่มีการกระทำความผิดสูงสุด คือ ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 12,116 คน

4. จังหวัดที่มีผู้กระทำความผิดสูงสุดในการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 964 คน

กลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว

1. จำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 496 คำร้อง

2. ข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม สูงสุด คือ ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 530 คน

นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อพิจารณาปริมาณคดีที่เข้าสู่ศาล ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 15 พฤษภาคม 2563 มีจำนวนเฉลี่ย 599 คดี/วัน จังหวัดที่ยังพบว่ามีการกระทำผิด ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ สูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร จำนวน คน 964 คน

ขณะที่ยอดคดีสะสมเดือนที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 30 เมษายน 2563) พบว่า

กลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง

ปริมาณคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 17,466 คดี ปริมาณคดีที่พิพากษาแล้วเสร็จทั้งหมด 17,039 คดี คิดเป็นร้อยละ 97.56

ส่วนข้อหาที่มีการกระทำความผิดสูงสุด คือ ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีผู้กระทำผิดรวมทั้งหมด จำนวน 23,628 คน รองลงมาคือ พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มีผู้กระทำผิดสะสมทั้งหมด จำนวน 316 คน และพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีผู้กระทำผิด 38 คน จังหวัดที่กระทำความผิดสูงสุดในฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คือกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,829 คน

กลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว

1. จำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 1,262 คำร้อง

2. ข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม สูงสุด คือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 1,360 คน

ส่วนที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มีมาตรการผ่อนปรนให้กิจการบางประเภทเปิดทำการเพิ่มเติมได้ (ผ่อนปรนเฟส 2) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่งขนาดใหญ่และร้านอาหาร สถานที่ออกกำลังกาย ให้เปิดใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2563 โดยให้มีมาตรการป้องกันโรค ฯ รวมทั้งได้มีการปรับเวลาเคอร์ฟิวเป็น 23.00 – 04.00 น. นั้น ขอให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ ศึกษาข้อกำหนดของมาตรการการผ่อนปรนอย่างละเอียด เคารพกฎหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ยอดสถิติคดีสูงขึ้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลจะคำนึงถึงสถานการณ์ความปลอดภัยสาธารณะในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ละเลยสิทธิและเสรีภาพของจำเลย โดยได้นำข้อแนะนำแนวปฏิบัติช่วงโควิด-19 ระบาด ของนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา มาปรับใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งจำเลยเข้าไปรับโทษกักขังในสถานที่กักขังหรือจำคุกในเรือนจำ เพราะเป็นการเสี่ยงที่จำเลยจะเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสไปแพร่ระบาดในสถานที่กักขังหรือเรือนจำ ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ จึงเห็นควรที่ศาลจะพิจารณานำมาตรการที่มีอยู่หลากหลายในประมวลกฎหมายอาญามาใช้แทน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *