“เชาว์” เชื่อมีคนดัมป์ราคา หวังยกเลิกห้ามส่งออก-ดันราคาลูกไก่พุ่ง

“เชาว์” สงสัย ใครดั๊มพ์ราคา เทไข่ไก่จากห้องเย็น แถมส่งไข่เชื้อ สู่ตลาด ไข่สด เชื่อคนทำมีวาระซ่อนเร้น หวังได้ปย.สองเด้ง บีบรัฐยกเลิกห้ามส่งออก – ดันราคาลูกไก่พุ่ง ชี้ จำกัดนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ ย้อนสู่วัฏจักร บังคับซื้อลูกไก่พ่วงอาหารสัตว์ แนะ เปิดนำเข้าเสรี เหมือนยุคอภิสิทธิ์ ให้กลไกตลาดทำงาน อย่าแทรกแซงเพื่อนายทุน แต่เกษตรกรรายกลางรายย่อย ต้องน้ำตาตก วอน สร้างอุตสาหกรรมไข่ไก่ที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่องไก่กับไข่ อำนาจเหนือตลาดของทุนใหญ่ จะบีบก็ตายจะคลาดก็รอด ” มีเนื้อหาว่า 4-5 วันที่ผ่านมามีการพูดถึงปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดสอดรับกันอย่างมีนัยสำคัญ แว่วมาว่าปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดก็เพราะมีบางบริษัทนำไข่ในห้องเย็นและไข่เชื้อเข้าสู่ระบบตลาด จนทำให้เกิดปัญหาไข่ล้นระบบ ส่งผลให้ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มลดลงจาก 2 บาท 80 สตางค์ เหลือ 2 บาท 60 สตางค์ จากนั้นก็มีกระบวนการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกไข่ไก่ตามติดมาทันที ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติ จึงตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์กดดันให้กระทรวงพาณิชย์ อนุญาตให้ส่งออกไข่ไก่ไปต่างประเทศ เพราะคำสั่งห้ามส่งออกไข่ไก่ไปต่างประเทศจะครบกำหนดในวันที่ 30 เมษายนนี้ ไม่ให้มีการขยายเวลาออกไปอีกโดยอ้างว่ามีไข่ไก่ล้นระบบ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนใช่หรือไม่ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเข้าไปสอดส่องดูแล ซึ่งกรมการค้าภายใน ควรมีข้อมูลที่ครบถ้วน เกี่ยวกับห้องเย็นของแต่ละบริษัทว่าสามารถเก็บไข่ไก่ไว้ได้จำนวนเท่าไหร่ในระยะเวลาใด โดยควรมีการส่งรายงานไข่ไก่ในสต๊อกให้กรมการค้าภายในได้รับทราบเพื่อจะได้คำนวณ ปริมาณที่เหมาะสมได้อย่างถูกต้อง และป้องกันไม่ให้มีบริษัทใดฉวยโอกาสนำไข่ไก่ในห้องเย็นของตัวเอง มาเทสู่ระบบเพื่อกดดันราคา เพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือตลาด อีกทั้งต้องตรวจสอบและจัดการกับผู้ที่นำไข่เชื้อเข้าสู่ระบบไข่สดด้วย เพราะสามารถติดตามได้ไม่ยากเนื่องจากผู้มีไข่เชื้อคือผู้ที่มีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์อยู่ในมือ ซึ่งในขณะนี้มีทั้งหมด 16 บริษัท โดยไข่เชื้อไม่เหมาะสมต่อการนำมาบริโภค เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการผลิตและการเคลื่อนย้ายเพื่อการทำพันธุ์สัตว์ และไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบในลักษณะของไข่สดเพื่อการบริโภค

“ผมมีข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการนำไข่เชื้อออกสู่ตลาดไข่ไก่สดเพื่อบริโภค ส่งผลให้ไข่ไก่ล้นระบบและยังทำให้ลูกไก่ขาดแคลน จนในขณะนี้ราคาพุ่งสูงถึง 26 บาทต่อตัว ทำให้เกษตรกรรายกลางได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คือบริษัทที่ต้องการส่งออกไข่ไก่และผลิตลูกไก่ขาย ภาวะการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแต่มีวาระซ่อนเร้นเพื่อฟันกำไร 2 ทาง ด้วยการยอมเจ็บนิดหน่อย เพื่อให้ได้ส่งออกไข่ไก่และด้นราคาลูกไก่ให้พุ่งสูงขึ้นด้วยใช่หรือไม่”

รัฐบาล อภิสิทธิ์ ได้เปิดเสรีนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ ในปี 2553 เพราะในขณะนั้นมี การผูกขาดการนำเข้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์โดย 9 บริษัท จนทำให้เกษตรกร รายกลางและรายย่อยได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ถูกบังคับให้ซื้อลูกไก่พ่วงอาหารสัตว์เหมือน ซื้อเหล้าพ่วงเบียร์ ทำให้ราคาต้นทุนพุ่งสูงขึ้นจนส่งผลให้ราคาไข่ไก่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เดือดร้อนทั้งเกษตรกรและประชาชน เมื่อมีการเปิดเสรีนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ก็ทำให้กลไกตลาดทำงานตามปกติ ต่อมาเริ่มมีการจำกัดการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ในช่วงรัฐบาลคสช. โดยอ้างเหตุผลไม่ต้องการให้ไข่ไก่ล้นตลาด วัฏจักรปัญหาเดิมกลับมาซ้ำรอยอีกคือ ลูกไก่ราคาพุ่งสูงขึ้น ใครที่ต้องการลูกไก่ก็ต้องซื้ออาหารสัตว์ ควบคู่ไปด้วย เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ปลายทางคือผู้บริโภคก็ต้องซื้อไข่ไก่แพง ตามไปด้วย วงจรอุบาทว์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้กลไกตลาดทำงานได้ตามปกติ การเข้าไปแทรกแซงหรือบริหารจัดการของภาครัฐ ควรทำให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคและให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรม ไม่ใช่ทำแล้วมีเพียงไม่กี่บริษัทที่ได้ประโยชน์ สุดท้ายเงินเข้าสู่กระเป๋าทุนใหญ่ ส่วนเกษตรกรรายกลางและรายย่อยต้องน้ำตาตก จึงอยากให้มีการทบทวนมาตรการที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ให้เกิดเศรษฐกิจที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรมไข่ไก่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *